วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

[Translation] Psycho-Pass - Next time, just the two of us. [Kougami&GuseongxMakishima]

Need to do something before bedtime and this one is kinda hit the spot.


Psycho-Pass - Next time, just the two of us. [Kougami&GuseongxMakishima]

Kougami: Let’s play a game.
Kougami: With blindfold on,
Kougami: will you be able to recognize me?
Makishima: …Fine.

Makishima: This is Guseong.
Makishima: This is Kougami.
Kougami&Guseong: …How did you know?
Makishima: Because the smell of cigarette are different.
Makishima: It’s my win.

Kougami: See ya, Makishima.
Kougami: Next time, let’s do it with just us two.
Guseong: ..Makishima-san.
Guseong: Your face is red?

Makishima: Say, Guseong. Did he come to like me or not?, I wonder.
Guseong: Yes, of course.
Guseong: There’s no human exists who does not love you.
Makishima: Right… This isn’t like me at all.

Ginoza: Kougami! Where have you been loitering around?
Kougami: I came into contact with Makishima and his underling.
Ginoza: What?!
Kougami: We 3 did it together.
Ginoza: …What?
Kougami: It’s 3P. Don’t make me repeat myself.
Ginoza: Th!? T T T
Ginoza: Three…?
Ginoza: Don’t joke with me!!
Kougami: ..Have I ever joked with you, Gino?

วันอาทิตย์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2555

[Android] Review App. JLPT Study Practice

โหลดแอปฝึกภาษาญี่ปุ่นมาเยอะแยะมากมาย uninstall ไปก็เยอะ ช่วงหลัง ๆ เลยเกิดปัญหาจำไม่ได้ว่าแอปตัวไหนลองแล้วไม่ work แอปตัวไหนเป็นแอปใหม่ไม่เคยลอง ยิ่งตอนล้างเครื่อง install ใหม่นี่ยิ่งแย่ เลยว่าจะทำรีวิวเก็บไว้ซักหน่อยว่าอันไหนเป็นยังไง ก็จะเป็นรีวิวตามใจฉันแบบเอาสะดวกเข้าว่านะคะ ไม่มีข้อมูลลึก ๆ หรอก
 

JLPT Study Practice

Review Date: 21 Oct 2012
ราคา: ฟรี

แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ
1. Practice เหมือนบัตรคำศัพท์ คือโชว์ศัพท์ขึ้นมาก่อน พอคลิกก็จะเฉลยแล้วให้เราเลือกว่าเราตอบ(ในใจ)ถูกหรือผิด เลือกกลุ่มคำที่จะดูได้ด้วยว่าจะเอา All, Noun, Adj., หรือ Verbs ให้แอปจำได้ว่าคำไหนเราโปรแล้ว เวลา quiz ก็เลือกให้ข้ามคำพวกนี้ไปได้
 

และก็อย่างที่เห็น แอปนี้ ญี่ปุ่น-อังกฤษ นะคะ

2. Quiz สุ่มคำมาถามทีละ 30 (ปรับได้) แล้วให้เลือกช้อยส์ว่าแปลว่าอะไร อ้อ ทำกลับกันให้โจทย์เป็นความหมายก็ได้ด้วย
 

3. Dictionary ก็เป็นลิสต์ของคำเฉย ๆ ยัง Search ไม่ได้
 

ความเห็น:
ก็เป็นอะไรที่ Simple ดี หน้าตาไม่รกรุงรัง น่าเสียดายที่เลือกศัพท์ตามเลเวลไม่ได้ ถ้ามีศัพท์ของระดับอื่นอาจจะโหลดมาเล่นอีก
 
ใครมีแอปดี ๆ ก็แนะนำมั่งนะคะ เวลาใกล้เข้ามาทุกที ปีนี้อยากสอบให้ผ่านจัง
 
นับถอยหลัง JLPT 2012 รอบ 2 41 วัน หึหึหึหึหึ

วันเสาร์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2555

Magi PSP Theme

สวัสดีค่า สบายดีกันรึเปล่า (หรือยังมีใครอ่านอยู่รึเปล่า)
 
เรื่องมีอยู่ว่ามีเด็กคนนึงมาขอให้หา theme psp ให้ จขบ.เลยเกิดติดลมอยากได้ขึ้นมามั่ง แต่หาของ Magi ไม่เจอ เลยลงมือทำเองซะเลย ถ้าใครสนใจก็เชิญใช้ได้ตามสะดวกนะคะ
 
หน้าตาเป็นแบบนี้ ทั้งหมดเป็น official art ส่วนที่ชาร์เป็นรูปจาก manga คนเดียวเป็นเพราะความชอบส่วนตัวค่ะ 555
 
 

วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

[แปล] Magi - วาเลนไทน์

เว็บเมไจอัพเดตอีกแล้วค่ะ
 

บน: ส่งความคำนึงนี้ไปถึงคุณ
ล่าง: มาโก่ยเหลือทิ้ง
 
กินได้มั้ยเนี่ยคุณโมล
 
อันนี้ของปีก่อน
 

 จา: กินมากไปเดี๋ยวพุงยื่นนะครับ
      แบบตาแก่
ซิน: ไม่ยื่นหรอกน่ะ
อาลาดิน: อร่อยแต่แข็งจังเลย
อาลีบาบา: เสียใจด้วยนะ
 
โมลน่ารักมาก TwT
 
อีกภาพตามคำเรียกร้อง

จาฟาล
อายุ: 25 ปี
ที่เกิด: ปี๊บ
งานอดิเรก: ปี๊บปี๊บ
ความสามารถพิเศษ: ปี๊บปี๊บ ปี๊บปี๊บ
สิ่งที่เกลียด: ปี๊บปี๊บ ปี๊บปี๊บ ปี๊บปี๊บ
 
เที่ยงคืนแล้ว หมดวาเลนไทน์ไปหนึ่งนาทีแล้ว โธ่ถัง
สุขสันต์วันวาเลนไทน์ย้อนหลังค่ะ

วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

[แปล] Magi - 36.5 คุณโมลกับคุณอาลีบาบา

โฟโต้ไม่รักดี วรรณยุกต์เลยเพี้ยน ๆ นะคะ
แปลจากตอนพิเศษที่คนเขียนอัพไว้บนเน็ต ที่นี่
 






 
 
ไปเดินเล่นในเว็บคนเขียนเจอความโมเอะมามากมายค่ะ ชอบอันนี้ด้วย 
ตกหลุมเมไจอย่างสมบูรณ์แบบไปแล้ว
 

วันอาทิตย์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2555

[แปล] Yokozawa Takafumi no Baai, Short Story

เอ็นทรี่นี้ขอลองแปลคู่ที่กำลังพีคอยู่ตอนนี้บ้าง เป็นตอนสั้นที่ไม่ได้อยู่ในรวมเล่มของ Yokozawa Takafumi no Baai นะคะ ใครไม่รู้จักแนะนำให้ไปอ่านนิยายเล่มหลักกับมังงะท้ายเล่มก่อน

Title: Sekai-ichi Hatsukoi ~ Yokozawa Takafumi no Baai, Short Story
Author/Circle: Nakamura Shungiku, Fujisaki Miyako
Rating: PG
Translated From: September Scanlations [http://september.strawberrywine.org/?p=289, http://september.strawberrywine.org/?p=315]
Translated to Thai: talalan

ตอนนี้: คิริชิมะ โยโกซาว่า และก็ฮิโยะกำลังนั่งดูโฮมวิดีโอกันอยู่

ฮิโยะวุ่นวายอยู่หน้าทีวีได้พักใหญ่แล้ว เธอกำลังดูวิดีโอวันกิจกรรมแข่งกีฬาคราวก่อนที่ถ่ายด้วยกล้องวิดีโอที่คิริชิมะยืมมา

"อ๊ะ ดูสิ!! พี่ชายอยู่ตรงนี้ไงคะ!"

"จ้ะ จ้ะ เห็นแล้ว..." โยโกซาว่าทำหน้าบูดแล้วมองเฉียงไปด้านข้างของจอที่ตัวเขาเองกำลังยืนอยู่ตรง จุดสตาร์ท พอดูตัวเองแบบนี้แล้วก็เห็นชัดเลยว่าเขาอ่อนกว่าพวกคุณพ่อที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ส่วนใหญ่ไปเป็นสิบ ๆ ปี และความจริงที่ตอนนั้นเขาเอาจริงแบบไม่เข้ากับนิสัยก็ยิ่งทำให้น่าอายเข้าไป ใหญ่

"พี่ชาย~! สู้เค้า~!!"

"สู้เค้าอะไรกันล่ะ หนูรู้อยู่แล้วนี่ว่าผลออกมาเป็นยังไง!"

"แหม ช่างเถอะค่ะ เชียร์ไปก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย! อ๊ะ พี่ชายหน้าแดงอยู่รึเปล่าคะ??"

"เปล่า นี่" แน่นอนว่าเขาไม่ได้หน้าแดง เขาเพียงแต่ทนสถานการณ์นี้ไม่ได้เท่านั้นเอง เหตุผลแรกเริ่มที่โยโกซาว่าเข้าร่วมในการแข่งวิบากของผู้ปกครองนี่ก็เป็น เพราะคิริชิมะติดงานบางอย่างแล้วปลีกตัวมาไม่ได้เอาตอนนาทีสุดท้าย ถึงฮิโยริจะไม่ปริปากบ่นที่พ่อของเธอบอกว่ามาร่วมกิจกรรมแข่งกีฬาที่ โรงเรียนไม่ได้ แต่เธอก็ดีใจเอามาก ๆ ตอนที่ได้รู้ว่าโยโกซาว่าจะมาแทน

ใน เมื่อเสนอตัวเข้าร่วมแล้ว โยโกซาว่าก็สาบานกับตัวเองว่ายังไงก็จะไม่ยอมขายขี้หน้าชาวบ้านเด็ดขาด ด้วยเหตุนี้โยโกซาว่าจึงซ้อมวิ่งทุกเช้าแถมด้วยฝึกกล้ามเนื้ออีกนิดหน่อยลับ หลังคิริชิมะกับฮิโยริเพื่อเตรียมตัวสำหรับวันนั้น

สุดท้ายแล้วมื้อ เที่ยงของคิริชิมะกับนักเขียนที่รับผิดชอบก็เสร็จทันเวลาการแข่งตอนบ่าย แต่จะให้วิ่งก็คงไม่ไหวเพราะคิริชิมะยังอยู่ในชุดสูทกับรองเท้าทำงาน โยโกซาว่าก็เลยยังต้องเป็นคนแข่งอยู่ดี

พอเสียงปืนดัง โยโกซาว่าก็พุ่งออกไปทันที เขาจัดการสิ่งกีดขวางไปทีละอย่างและเป็นคนแรกที่ไปถึงโต๊ะตัวเล็กที่มีการ์ด หลายแผ่นคว่ำอยู่ได้ง่าย ๆ และโดยที่ไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย เขาก็หยิบการ์ดที่อยู่ใกล้เท้าตัวเองมากที่สุดขึ้นมา แล้วหันไปทางหนึ่งโดยอัตโนมัติ แต่แล้วอึดใจเดียวหลังจากนั้นเขาก็รู้สึกตัว เปลี่ยนทิศทางไปทางตรงข้ามแล้วออกวิ่งอีกครั้ง

“กรี๊ด!! พี่ชายเท่ที่สุด!”

ตอน นี้โยโกซาว่ากำลังออกวิ่งไปทางฮิโยริที่นั่งอยู่กับเด็กป. 5 คนอื่น ๆ เขาโน้มตัวลงอุ้มฮิโยริขึ้นมาจากที่นั่งแถวหน้า แล้วออกวิ่งอีกครั้งไปทางตำแหน่งที่ครูที่ทำหน้าที่กรรมการประจำอยู่ หลังจากให้ปั๊มการ์ดว่าทำตามคำสั่งเรียบร้อยแล้ว เขาก็มุ่งหน้าไปยังจุดหมาย เข้าเส้นชัยไปโดยทิ้งคู่แข่งห่างแบบไม่เห็นฝุ่น ฮิโยริที่ทำตาโตด้วยความ

ตกใจตอนโยโกซาว่าช้อนตัวเธอขึ้นมายิ้มแฉ่ง ตื่นเต้นดีใจที่โยโกซาว่าเอาที่หนึ่งมาครองได้สำเร็จ

“พี่ชายยอดไปเลยค่ะ! แต่ตอนที่มาอุ้มหนูตกใจจริง ๆ นะ!”

“มันไม่มีทางเลือกเลยต้องพาหนูไปด้วยน่ะ!”

“อะแหะ ค่ะ! เพื่อนหนูอิจฉากันหมดเลยด้วย! ทุกคนบอกว่าหนูเหมือนเจ้าหญิงเลย!”

ใน ตอนที่โยโกซาว่าปล่อยให้ตัวเองโล่งใจที่เขาหลุดออกจากหน้าจอไปนั้นเอง คิริชิมะกลับแทรกขึ้นมาด้วยคำถามที่ไม่ว่ายังไงตอนนี้เขาก็ไม่อยากจะตอบเอา ซะเลย: "จะว่าไปแล้ว ในการ์ดนั่นเขียนว่าอะไรเหรอ?"

“…ความลับ”

“หา? ไม่เห็นจะเป็นไรเลย บอกมาเถอะน่า! นี่ ฮิโยะ การ์ดนั่นมันเขียนว่าอะไร?”

“บอกป๊ะป๋าไม่ได้หรอก! มันเป็นความลับระหว่างหนูกับพี่ชาย~! แล้วก็ พรุ่งนี้หนูมีนัดกับยูกิจัง ไปนอนล่ะค่ะ ฝันดี!”

“อะไรเล่า บอกหน่อยสิ! เล่นอะไรกันเนี่ยสองคนนี้?”

“ฮิ โยะก็บอกแล้วนี่ว่าเป็นความลับ บอกไม่ได้หรอก” โยโกซาว่าปั้นหน้านิ่งแบบถือไพ่เหนือกว่า แต่เบื้องหลังเหงื่อเย็น ๆ กลับไหลออกมา ความตึงเครียดถึงขีดสุด


การ์ดนั้นเขียนไว้ว่า คนสำคัญที่สุดของคุณ

โย โกซาว่าคิดว่าที่ใช้คำพูดแบบนั้นคงตั้งใจจะให้พ่อแม่ที่หยิบขึ้นมาได้วิ่งไป อุ้มลูกนั่นเอง แต่ตอนที่โยโกซาว่าเห็นคำนั้น เขากลับมองหาคิริชิมะที่อยู่ในกลุ่มคนไปโดยไม่รู้ตัว

“ตอนหยิบการ์ดขึ้นมา นายมองมาทางฉันแว่บนึงไม่ใช่เหรอ?”

“ปะ เปล่าซะหน่อย ผมมองหาฮิโยะต่างหาก”

“ก็นะ ถึงจะมองที่นั่งผู้ปกครองไปก็หาฮิโยะไม่เจอหรอก”

“ผม รู้แล้วล่ะน่า! ก็แค่พลาดไปเท่านั้นแหละ” ให้ตายเขาก็ไม่ยอมให้คิริชิมะรู้ว่าคนแรกที่เขาคิดถึงหลังจากอ่านคำว่า คนสำคัญที่สุด คือคิริชิมะ ขณะที่โยโกซาว่ายังละล้าละลัง คิริชิมะก็ยังสอบสวนต่อแบบไม่ยอมอ่อนข้อให้เลยแม้แต่นิด


“หรือว่าจะเป็นเพราะนายไม่อยากให้ฉันรู้ว่ามีอะไรเขียนอยู่ที่การ์ด?”

“ไม่ ใช่ ก็บอกแล้วไงว่าไม่มีอะไร! อย่ามาหงุดหงิดเพราะเรื่องแบบนี้น่ะ อ๊ะ ฮิโยะ เกือบถึงเวลานอนแล้วนะ อย่าคิดว่าเป็นวันหยุดแล้วจะอยู่ดึกได้เชียว ไปแปรงฟันได้แล้ว”

“แปรงแล้วค่ะ! โซระจาง ไปนอนกันเถอะ!”

พอ ได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเอง โซราตะที่ขดตัวอยู่บนโซฟาก็ยกหัวขึ้น กระโดดลงจากโซฟาแล้วตามไปที่ห้องของฮิโยริ ทั้งคู่สนิทกันขึ้นมากแล้วก็ทำตัวเหมือนกับเป็นเพื่อนกันมานานแสนนาน

เห็น โยโกซาว่ามองส่งทั้งคู่ที่เดินจากไปด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าแล้วคิริชิมะก็โพล่ง ขึ้นมาเบา ๆ “เมื่อกี้นี้นายพยายามเปลี่ยนเรื่องล่ะสิ ฉันว่าที่นายโยกโย้อยู่นี่มันออกจะน่าสงสัยอยู่นะ…”

โยโกซาว่าสะดุ้งที่คิริชิมะเดาถูกเผง “จะมาหมกมุ่นกับไอ้การ์ดบ้านั่นทำไมกันเล่า มันก็แค่มุกวันงานกีฬาของโรงเรียนประถม...”

“เพราะเรดาร์ฉันมันทำงานแล้วน่ะสิ”

“หา? หมายความว่ายังไง? ไม่เห็นจะเข้าใจเลย”

โย โกซาว่าขยับตัวออกห่างจากคิริชิมะ เขาทำท่าเหมือนกับจะหยิบกระป๋องเบียร์เปล่าแต่กลับพบว่าแขนสองข้างถูกตรึง ไว้กับแผ่นหลัง “คิดจะหนีเหรอ?”

“เปล่า...ซะหน่อย! แค่จะหยิบเบียร์เอง…!”

“สารภาพมา”

“ไม่มีทาง”

“ถ้าไม่ยอมบอก ก็เห็นทีจะต้องจูบจนกว่าจะสารภาพล่ะนะ”

“คำ ขู่โลกไหนเค้า...” พอหมุนตัวกลับมาด้วยความตะลึงที่เมื่อกี้พวกเขาฟังดูเหมือนคู่รักหวานชื่นซะ ไม่มี แป๊บเดียวโยโกซาว่าก็พบว่าริมฝีปากเขาถูกยึดครองตามที่คิริชิมะลั่นปากไว้ จูบนั้นทำเอาเขาลืมหายใจเพราะริมฝีปากแทบจะเรียกได้ว่าถูกกระทำมิดีมิร้าย "ทำ..อะไรของคุณน่ะ?"

"ก็แค่สันนิษฐานว่าการที่นายไม่ยอมสารภาพเป็นการบอกว่าอยากให้จูบ"

“อย่ามาสรุปเอาเองนะ!”

“ไม่ชอบรึไง?”

“นี่ มันไม่ใช่อะไรที่จะมาทำในที่โล่งแจ้งได้นะ” ถ้าพวกเขาอยู่ในห้องนอนของคิริชิมะก็ว่าไปอย่าง แต่ห้องนี้คือห้องนั่งเล่นที่พวกเขาทานข้าวและก็เล่นกับฮิโยริ เขาไม่ต้องการจะเอาอย่างอื่นที่ไม่ใช่เรื่องในชีวิตประจำวันตามปกติมาผูกกับ ห้องนี้

“ไม่เป็นไรน่า~ ฮิโยริเป็นคนนอนเร็ว”

“เป็นสิ เรื่องแบบนี้ต้องทำให้ชัดเจนเอาไว้ บางทีคืนนี้อาจจะไม่เป็นไร แต่ก็ไม่รู้ว่าต่อไปจะมีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้นรึเปล่า”

“พอเป็นเรื่องทำนองนี้แล้วนายนี่มันหัวแข็งจริง ๆ แต่ก็ต้องขอบอกว่าฉันรักตรงส่วนนี้ของนายล่ะนะ”

“………”

ขณะที่โยโกซาว่าใคร่ครวญว่าควรจะถอยห่างจากริมฝีปากที่ขยับใกล้เข้ามาอีกครั้งหรือไม่ เสียงของฮิโยริก็ลอยมา: "ป๊ะป๋า!"

“……….?!” จังหวะที่ริมฝีปากกำลังจะสัมผัสกันโยโกซาว่าก็รีบฉีกตัวออกห่างจากคิริชิมะ โชคดีที่ตอนนี้พวกเขาเกือบจะนั่งอยู่บนพื้นแล้วจึงมีโซฟาบังสายตาให้อยู่ ฮิโยริจึงไม่มีทางที่จะมองเห็นพวกเขาได้เลย

คิริชิมะปั้นหน้าสงบ เยือกเย็นตรงกันข้ามกับโยโกซาว่าที่กำลังพยายามไม่ให้หัวใจเต้นแรงจนหลุดออก มาทางปากแบบหน้ามือเป็นหลังมือ “มีอะไรเหรอ?”

ฮิโยริบิดไปมาแล้วเข้า มาหาคิริชิมะที่ค่อย ๆ เปลี่ยนท่ากลับไปนั่งบนโซฟาดี ๆ  “เอ่อ ป๊ะป๋าว่า...จะเอารูปยูกิจังออกมาจากวิดีโอที่ถ่ายมาได้มั้ยคะ…?”

“ได้สิ พรุ่งนี้ให้ยูกิจังโทรมาบอกสิว่าจะให้เอารูปตอนไหน ป๊ะป๋าจะสอนวิธีใช้โปรแกรมกล้องให้นะ”

“เย้! ขอบคุณค่ะ ป๊ะป๋า! งั้นหนูจะส่งแมสเสจบอกยูกิจังนะ! ฝันดีค่ะทั้งสองคน!” พอหมดกังวลแล้วฮิโยริก็ส่งยิ้มสว่างไสวให้ทั้งสองคนแล้วกลับไปที่ห้องตัวเอง

โย โกซาว่าผ่อนลมหายใจที่กลั้นไว้ตั้งแต่ตอนที่อยู่ ๆ ก็ถูกขัดจังหวะแล้วรู้สึกได้ว่าความตึงเครียดไหลออกจากร่างกาย เขารู้สึกเหมือนกับอายุสั้นลงไปซักสิบปีเพราะห้านาทีที่ผ่านมา

“เฮ้อ เกือบไป~”

โย โกซาว่าถลึงตาใส่คิริชิมะที่ถึงจะพูดแบบนั้นแต่กลับไม่ได้ดูเป็นกังวลเลยแม้ แต่นิด "เกือบไปบ้าน่ะสิ ถึงได้บอกไงว่าอย่ามาทำเรื่องพรรค์นั้นแถวนี้" เขาโวยด้วยเสียงที่เบาลงมาหน่อยเพื่อไม่ให้ฮิโยริได้ยิน

ได้ยินแล้ว คิริชิมะก็โน้มตัวลงให้ใบหน้าลงมาใกล้กับโยโกซาว่ามากขึ้น เขาบอกด้วยเสียงที่เกือบจะเป็นกระซิบว่า "แต่นายก็เล่นด้วยเต็มที่เลยนี่"

“ใคร ไม่ทราบ…!” ภาพที่โยโกซาว่าเห็นมัวไปชั่วขณะหนึ่งที่เขายอมรับกับตัวเองว่าข้อกล่าวหา นั้นก็...ไม่ได้เหลวไหลซะทีเดียว ถ้าไม่ต้องการจริง ๆ เขาจะปฏิเสธให้รุนแรงกว่านี้มาก ๆ ก็ยังได้

"...งั้น เรามาต่อกันดีมั้ย?"

"ฝันไปเหอะ!" โยโกซาว่าตะคอกด้วยเสียงเฉียบขาดแล้วปัดมือที่คิริชิมะวางบนไหล่ทิ้งไป

--o--
 
ตอนนี้: สองวันหลังจากเรื่องคราวที่แล้ว โยโกซาว่าพบว่าตัวเองโดนคิริชิมะหลบหน้าโดยไม่รู้สาเหตุ...
“ถ้าอย่างงั้นก็ขอจบการประชุมเรื่องจำนวนพิมพ์ของเดือนนี้ไว้เท่านี้ ขอบคุณมากครับ เดือนหน้าพบกันใหม่”

เมื่อโยโกซาว่าปิดการประชุมทุกคนที่เข้าร่วมก็พากันลุกออกจากที่นั่ง ปรากฏว่าการประชุมวันนี้ราบรื่นกว่าปกติ มันจบลงโดยมีปัญหากับประเด็นให้ถกไม่มากนักเมื่อลดสายตาลงมองนาฬิกาโยโกซา ว่าก็พบว่าการประชุมจบลงเร็วเป็นพิเศษ ถ้าเป็นแบบนี้ก็มั่นใจได้ว่าจะมีโอกาส “คุยกัน” เขาเหลือบตามองไปทางคิริชิมะที่นั่งเฉียงไปทางตรงกันข้าม “…!”

ทั้ง ๆ ที่ปกติแล้วคิริชิมะจะเป็นคนที่มองตาเขาก่อนแล้วจ้องจนโยโกซาว่าอึดอัดจนต้องหันหน้าหนี แต่คราวนี้คิริชิมะกลับเป็นคนที่หลบตาก่อน แถมยังรีบพุ่งออกจากห้องประชุมด้วยสีหน้าปั้นยากพิกล “…บ้าเอ๊ย เผ่นไปซะได้”

“ว่าไงนะครับ?” เฮ็นมิที่นั่งอยู่ข้าง ๆ มองมาด้วยใบหน้าสงสัยเมื่อได้ยินเสียงสบถพึมพำของโยโกซาว่า
 
“แค่พูดคนเดียวน่ะ นายจัดการที่เหลือต่อเองได้รึเปล่า?”
 
“ก็ได้อยู่ครับ แต่-โยโกซาว่าซังจะไปไหนเหรอ?”
“ฮื่อ โทษที เอาเอกสารพวกนี้ไปแล้วกลับไปก่อนนะ” พอแก้ตัวแบบคลุมเครือเสร็จ เขาก็เข้าที่ ระวัง เตรียมพร้อมแล้วออกไล่ตามคิริชิมะไป “เป็นบ้าอะไรของเค้านะ...”

คิริชิมะทำตัวแปลก ๆ มาตั้งแต่เช้า เขาเหล่มองมาทางโยโกซาว่าทุกครั้งที่มีโอกาส แต่กลับไม่เข้ามาหาหรือมากวนใจโยโกซาว่าตรง ๆ เลยซักครั้ง โยโกซาว่ากะไว้ว่าพอประชุมเสร็จจะได้มีโอกาสคุยกันซะที แต่เจ้าตัวคิริชิมะก็ฉากหลบไปอีกจนได้

หลังจากเดินพลางหลบเพื่อนร่วมงานบนทางเดินไปพลาง โยโกซาว่าก็ตามคิริชิมะทันจนได้ เขายืนอยู่คนเดียวที่หน้าลิฟท์
“เฮ้!”
 
คิริชิมะหันมาตามเสียง แต่รอยยิ้มตามปกติของเขากลับไม่ปรากฏให้เห็น
“หือ? ว่าไง?” ทั้งหมดทั้งปวงนี่ดูแล้วทำให้วุ่นวายใจไม่น้อยเลย

“เรามีเรื่องต้องคุยกัน” “งั้น-เอาไว้ก่อนได้มั้ย ตอนนี้ชั้นมีเรื่องต้องทำ”

โยโกซาว่าเห็นคิริชิมะจงใจมองลงไปที่นาฬิกาแล้วก็รู้สึกได้ว่าอารมณ์พุ่ง ปรี๊ด “เราประชุมเสร็จเร็วกว่ากำหนดนะ ยังไงคุณก็ต้องมีเวลาว่างอย่างต่ำสิบนาที” “ชั้นเพิ่งนึกได้ว่ามีเรื่องต้องทำน่ะ เพราะงั้น...”
 
“เชื่อก็บ้าแล้ว มานี่” และก่อนที่ใครจะทันได้ห้ามเขาก็ผลักคิริชิมะเข้าไปในห้องประชุมที่ใกล้ที่ สุดที่ว่างอยู่ พอปิดประตูเรียบร้อยโยโกซาว่าก็จัดการเอาตัวขวางประตูไว้ไม่ให้คิริชิมะมี ช่องทางหนีได้ “ทำบ้าอะไรของนายเนี่ย? จะบังคับกันเกินไปแล้ว”
 
“นั่นมันคำพูดของผมต่างหาก! คุณหลบหน้าผมมาทั้งเช้าแล้วนะ...ผมไปทำอะไรให้คุณรึไง?”
 
จริง ๆ แล้วเรื่องนี้แหละที่โยโกซาว่ากังวลอยู่ เขารู้อยู่แก่ใจดีว่าตัวเองเป็นพวกที่ชอบพูดจาห้วน ๆ และอาจจะทำร้ายความรู้สึกคนอื่นโดยไม่รู้ตัวเอาได้ง่าย ๆ ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเผลอพูดอะไรร้าย ๆ ออกไปโดยไม่ทันคิด
“ชั้น...เปล่า คือ...มันไม่ใช่อย่างงั้น...” ขณะที่โดนโยโกซาว่าจ้อง สีหน้าลำบากใจแบบก่อนหน้านี้ก็ผุดขึ้นมาบนใบหน้าของคิริชิมะ จากนั้นเขาก็เสมองไปทางอื่น

โยโกซาว่าได้รู้แล้วว่าเมื่อไหร่ที่คิริชิมะรู้สึกว่าตัวเองจนมุม เขามักจะเลื่อนสายตามองไปด้านบนเฉียงไปด้านข้าง...แปลได้ว่าคิริชิมะปิดบัง อะไรอยู่ เห็นแบบนี้แล้วโยโกซาว่าก็รุกต่อ “แล้วมันเป็นยังไงล่ะ?” “ก็แค่...เอาเป็นว่าไม่ใช่เรื่องที่นายจะต้องกังวลหรอกน่ะ พูดตามตรงแล้วนี่มันเป็นปัญหาที่ตัวชั้นเอง...”

“แล้วทำไมคุณจะต้องหลบหน้าผมเพราะปัญหาของคุณเองไม่ทราบ?”
 
“ตอนนี้ชั้นก็...อธิบายไม่ถูกน่ะ” โยโกซาว่าเริ่มจะเหนื่อยกับคำแก้ตัวแบบเอาสีข้างเข้าถูของคิริชิมะขึ้นมา จริง ๆ ถ้าเขาทำอะไรผิดไป เขาก็อยากจะให้พูดออกมาตรง ๆ มากกว่า “ปกติคุณเป็นอัจฉริยะด้านการเอาเรื่องงี่เง่ามาพูดเฉไฉไปมาไม่ใช่รึไง?”
 
“เฮ้ย...อย่าเรียกว่าเฉไฉสิ ต้องบอกว่าเป็นการให้ความคิดเห็นอย่างกระตือรือล้นต่างหาก แล้วยังไงมันก็ไม่มีอะไรจริง ๆ แต่ชั้นขอบอกก่อนนะว่าชั้นไม่ได้ตั้งใจ แค่...บังเอิญไปเห็นเข้าแค่นั้นเอง” คิริชิมะยังคงเบี่ยงประเด็นไปมาไม่ยอมเข้าเรื่องและเอาแต่แก้ตัวท่าเดียว
 
ในที่สุดโยโกซาว่าก็หมดความอดทน เขาขึ้นเสียงแล้วพูดว่า “ถ้าคุณมีอะไรจะพูดก็รีบ ๆ พูดออกมาซะ!
“ขอโทษ! ชั้นไม่ได้ตั้งใจจะดูจริง ๆ !” อยู่ ๆ คิริชิมะก็พนมมือเข้าหากันเป็นท่าที่มองยังไงก็ขอโทษอยู่ แต่...แค่ขอโทษไม่ได้ช่วยให้เข้าใจสาเหตุเลยแม้แต่นิด

“…ผมยังไม่รู้ว่าคุณขอโทษเรื่องอะไรเลยนะ”

“คือ...ไอ้การ์ดจากงานแข่งกีฬานั่นน่ะ” ในที่สุดเขาก็อุบอิบออกมา แต่หมดปัญญาจะอธิบายมากกว่านั้น

“การ์ดเหรอ...?”

“ก็อันจากตอนที่นายวิ่งแข่งแทนชั้นไง”

“วิ่งแข่งอะไรของคุณ...อ๊ะ!” ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าไอ้การขอโทษทั้งหมดนี่มันมีที่มาที่ไปยังไงจนได้ ตอนวันแข่งกีฬาของฮิโยริ โยโกซาว่าลงแข่งวิ่งหาของในตำแหน่งผู้ปกครองแทนคิริชิมะ ดูเหมือนคิริชิมะจะไปเห็นสิ่งที่เขียนไว้บนการ์ดที่โยโกซาว่าจับได้ตอนแข่ง ด้วยสาเหตุอะไรบางอย่าง โยโกซาว่ากับฮิโยริกะว่าจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับระหว่างพวกเขาสองคน และไม่ยอมบอกคิริชิมะว่ามีอะไรเขียนอยู่บนการ์ด แต่แล้ว...

“มันบังเอิญตกลงมาจากชั้นหนังสือตอนชั้นเอาผ้าที่ซักแล้วไปเก็บในห้องฮิโยริน่ะ พอชั้นเก็บขึ้นมาแล้วถึงได้รู้ว่ามันคือไอ้การ์ดนั่น” ที่คิริชิมะพูดพล่ามเหมือนคนร้ายสารภาพความผิดที่ตัวเองก็ไม่ได้ถูกกล่าวหา นี่อาจจะเป็นเพราะความรู้สึกผิดล้วน ๆ “แบบว่า...ชั้นคิดจริง ๆ นะว่ามันเป็นคำว่า ครอบครัว หรืออะไรไม่รู้ล่ะ! ...ไม่นึกเลยว่าจะเป็นคำนั้น...”

“……….”

การที่คิริชิมะพูดอ้อมโลกแบบนี้แปลได้ว่า...เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมเขาเป็นคนแรกที่โยโกซาว่ามองหาตอนเห็นคำที่อยู่บนการ์ด คนสำคัญที่สุด ขนาดนึกย้อนกลับไปตอนนี้ยังรู้สึกได้ว่าเรื่องที่เขาทำไปแบบไม่ได้คิดนั่นมันน่าอายสุด ๆ

โยโกซาว่าอ้าปากจะโต้กลับก่อนที่คิริชิมะจะล้อเรื่องการ์ด แต่พอเงยหน้ามองเขาก็รู้สึกตัวว่าคิริชิมะกำลังหน้าแดงอยู่ โยโกซาว่ายกมือขึ้นสางผมด้วยความพยายามที่จะทำลายบรรยากาศชวนอึดอัดแล้วพูดว่า “โธ่เอ๊ย ทำหน้าแดงอะไรของคุณน่ะ?”

“เปล่า ชั้นแค่...ตอนนี้...ชั้นยังมองหน้านายตรง ๆ ไม่ได้น่ะ”

“หา?”

“มันช่วยไม่ได้นี่! ชั้นไม่เคยคิดเลยว่านายจะคิดแบบนั้น…”

“พูดอะไรของคุณ...” พอเห็นคิริชิมะมีปฏิกิริยากับเรื่องทั้งหมดนี่ขนาดนี้แล้วหน้าของโยโกซาว่า เองก็พลอยค่อย ๆ ร้อนขึ้นตามไปด้วย ดูเหมือนการที่คิริชิมะเขินแบบไม่สมกับเป็นตัวเขาเองจะทำให้คิริชิมะมองหน้า โยโกซาว่าไม่ติด

ถ้าเป็นไปตามปกติแล้ว พอถึงจุดนี้โยโกซาว่าก็จะปัดฉับด้วยประโยค “พูดพล่ามเรื่องบ้าอะไรไม่สมกับเป็นคุณเลยซักนิด” แต่ความเขินของคิริชิมะอาจจะแพร่เชื้อได้ เพราะเขาพบว่าตัวเองไม่สามารถจะพูดอะไรออกมาได้เลย

เมื่อไม่รู้จะพูดอะไร ทั้งสองคนจึงพร้อมใจกันเงียบแล้วเอาแต่มองเท้าตัวเอง... แต่แล้วกลายเป็นว่าคนที่เข้ามาทำลายบรรยากาศชวนอึดอัดระหว่างพวกเขาสองคนคือ ผู้บุกรุกที่ไม่รู้จักดูบรรยากาศ

“อ๊ะ มาอยู่นี่เอง โยโกซาว่าซัง!”

“เฮ...เฮ็นมิ...”

ดูเหมือนเฮ็นมิจะไม่ทันสังเกตุเห็นบรรยากาศแปลก ๆ ที่ปกคลุมห้องประชุมอยู่ เขาพล่ามต่อแบบไม่สนใจคนอื่น “ผมตามหาทั่วไปหมดเลยนะครับ! ผมจะถามว่า...เอ๋? นี่ทำอะไรกันอยู่เหรอครับ หน้าแดงกันทั้งคู่เลย เครื่องทำความร้อนเสียรึเปล่า?”

“ไม่มีอะไร ไปกันเถอะ เฮ็นมิ!”

“เอ๋? ด...เดี๋ยวก่อนสิครับ! คนที่มาตามคือผมต่างหากล่ะ!”

คราวนี้เป็นตาของโยโกซาว่าที่จะม้วนหางวิ่งหนีบ้าง เขารีบหลบออกไปจากห้องประชุมอย่างรวดเร็ว

ดูเหมือนว่าหัวใจที่เต้นรัวของเขาจะยังไม่สงบลงในเวลาอันใกล้นี้
-จบ-


โยโกเนี่ยเวลาโผล่ในเนื้อเรื่องหลักแล้วเราหมั่นไส้มาก ไอ้ผู้ชายจิกกัด แต่พอเป็นนิยายแล้วใจละลายย้วยเลย โยโกน่ารักมาก คุณแม่มาก กลายเป็นคู่ที่ชอบที่สุดในเสะไกไปแล้ว แต่เวลาโผล่มาในอนิเมก็อดหมั่นไส้ไม่ได้น่ะนะ 555

เห็นว่าตอนจบจะออกเดือนหน้า แฟนเกิร์ลทั้งหลาย มารอเป็นเพื่อนกัน แล้วก็ขอให้มี Short Story ออกมาอีกเยอะ ๆ กันเถอะนะคะ ^o^

ตอนนี้เริ่มเรียนปริญญาโทแล้วแถมโปรเจ็คที่ทำบ้าบอคอแตกไปช่วงน้ำท่วมก็ ถึงกำหนดส่งเลยวุ่นวายไปหมดเลยค่ะ ที่จริงเวลาที่เอามาแปลนี่ก็ควรจะเอาไปทำงานนะ แต่อยากจะเวิ่นเว้อบ้างอะไรบ้าง จะได้หายเฉา
เวิ่นเสร็จแล้วก็ขอลาไปทำงานต่อล่ะค่ะ
เจอกันใหม่เอ็นทรี่หน้า
 

วันพุธที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2554

[แปล] อุโรบุจิ เก็นกับคำว่าอบอุ่น???

เวลาพีคอะไรแล้วมีคนพีคด้วยนี่ดีจังเลยน้า ขอสารภาพว่าอ่านคอมเม้นท์เอ็นทรี่ก่อนไปหลายรอบ แถมตอนอ่านนั่งอมยิ้มอีกตะหาก โยโกน่ารักเนอะๆๆๆ อยากอ่านตอนต่อจังเลย เมื่อไหร่จะถึงเดือนหน้าซะทีนะ

ระหว่างรอโยโก วันนี้อ่านนิยาย Fate/Zero เล่ม 1 จบแล้ว เลยเพิ่งรู้ว่าอีตาอุโรบุจิคนเขียน Fate/Zero กับมาโดกะ กับ คำว่าอบอุ่น ที่คนเค้าพูดกันบ่อย ๆ มันเกี่ยวกันยังไง ที่แท้ก็มาจากท้ายเล่มของเล่มนี้เอง อ่านแล้วถูกใจเลยลองแปลดูค่ะ


Fate/Zero:Volume 1 Postface 1
Thai Translation: talalan


อุโรบุจิ เก็นอยากจะเขียนเรื่องที่ทำให้หัวใจของผู้คนอบอุ่น

คน ที่รู้ประวัติการสร้างสรรค์ผลงานของผมคงจะขมวดคิ้วแล้วคิดว่านี่เป็นเรื่อง ตลกฝืด อันที่จริงแล้วผมเองก็เชื่อคำพูดนี้ไม่ได้หมดใจเหมือนกัน เพราะเมื่อไหร่ที่ผมเริ่มพิมพ์ถ้อยคำลงบนคีย์บอร์ด เรื่องราวที่สมองผมคิดขึ้นมาก็มักจะเต็มไปด้วยความบ้าคลั่งและสิ้นหวัง

ความ จริงแล้วเมื่อก่อนผมไม่ได้เป็นแบบนี้ บางครั้งบางคราวผมจะเขียนผลงานที่ไม่ได้มีตอนจบที่สมบูรณ์แบบแต่ในตอนสุด ท้ายตัวเอกจะยังคงเชื่อว่า "ถึงแม้ว่าต่อไปจะมีเรื่องยากลำบากมากมาย แต่ฉันยังต้องสู้ต่อไป"

แต่ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ผมไม่สามารถจะเขียนเรื่องราวแบบนั้นได้อีกแล้ว

ตัว ผมเต็มเปี่ยมไปด้วยความเกลียดชังที่มีต่อสิ่งที่มนุษย์เรียกกันว่าความสุข และจำต้องผลักไสตัวละครที่เทใจสร้างขึ้นมาไปสู่ห้วงเหวแห่งโศกนาฎกรรม

สิ่งใดก็ตามในโลกนี้ ถ้าหากว่าเราปล่อยให้มันเป็นไปโดยไม่ไปสนใจใยดีอะไรกับมัน สิ่งนั้นก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะมุ่งไปในทางที่เลวร้าย

ก็ เหมือนกับที่ไม่ว่าเราจะทำยังไงจักรวาลก็จะไม่หยุดเย็นตัว มันก็แค่โลกที่สร้างขึ้นมาจากการรวบรวม "การรุดหน้าของสามัญสำนึก" ไม่มีทางที่จะหลุดรอดจากพันธนาการของกฏธรรมชาติไปได้

ด้วยเหตุนี้ การจะเขียนตอนจบที่สมบูรณ์แบบคุณจำเป็นจะต้องบิดเบือนกฏของเหตุและผล พลิกดำเป็นขาว และถึงขนาดต้องมีพลังที่จะมุ่งไปในทิศทางตรงกันข้ามกับกฏของจักรวาล มีเพียงวิญญาณอันล้ำเลิศและบริสุทธิ์สะอาดที่สามารถจะร้องเพลงสวดสรรเสริญ มนุษยชาติเท่านั้นที่จะกอบกู้เรื่องราวเอาไว้ได้ การจะเขียนเรื่องราวที่มีตอนจบที่สมบูรณ์แบบเป็นสิ่งที่ท้าทายทั้งร่างกาย และวิญญาณของผู้เขียน

อุโรบุจิ เก็นได้สูญเสียพลังนั้นไปแล้ว และมันก็ยังไม่ฟื้นคืนมา ในตัวผมยังคงมี "อาการโศกนาฎกรรม" อยู่เรื่อยมา นี่เป็นโรคที่รักษาไม่หายหรือเปล่า หรือผมควรจะยอมปล่อยมือจาก "นักสู้แห่งความรัก" แบบไม่มีอะไรเจือปนที่โหยหา ขึ้นขี่อาชาสีซีดจางแล้วจุติใหม่เป็นพาหะของไวรัสตัวนี้... หรือว่าผมต้องเกิดใหม่ถึงจะสามารถสร้างผลงานที่มอบความกล้าหาญและความหวัง ให้ผู้คนได้ (ตอนเขียน ผมเขียน 'ความกล้า' เป็น 'วิญญาณ' หรือจะเป็นเพราะใช้ IME อ๊ะ ผมเขียน IME เป็น 'ความเกลียดชัง' นี่ผมจะไม่มีโอกาสฟื้นตัวอีกแล้วรึไง?)*

ใจจริงแล้ว ผมถึงกับอยากจะเลิกเขียนไปเลย ผมจำได้ว่าผมดูสไปเดอร์แมน II พอเห็นว่าปีเตอร์อยากให้ตัวเองไม่มีพลังจะเปลี่ยนร่าง ผมเองก็คิดว่า "บางทีฉันอาจจะไม่อยากเขียนบทอีกต่อไปก็ได้!"

ดังนั้นผมจึงไปที่บ้าน นาสุ คิโนโกะ เพื่อนของผมในตอนบ่ายของวันถัดมา และอยากจะบอกความตั้งใจของผมให้เขาฟัง แต่ก่อนที่ผมจะพูดเรื่องที่คิดอยู่ในใจออกมา ทาคาชิ ทาเคอุจิก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน และหยิบยกเอาข้อเสนอที่คาดไม่ถึงขึ้นมาพูดในทันที

เรื่องหลังจากนี้ ก็เหมือนกับในบันทึกของคิโนโกะ ถึงแผนการณ์ตอนแรกจะเป็นแค่งานเขียนสั้น ๆ ที่บรรยายการดวลกันระหว่างคิริซึงุกับคิเรย์ แต่เมื่อปีกแห่งจินตนาการได้สยายออกมาครั้งหนึ่งแล้ว มันก็หยุดไม่ได้อีกต่อไป และสุดท้ายมาสเตอร์ทั้ง 7 และเหล่าเซอร์แวนต์ก็มารวมตัวกัน ผมพบว่าตัวเองได้กลับมาดื่มด่ำกับการเรียงร้อยเรื่องราวอีกครั้งหนึ่ง จะพูดว่าการลงมือทำ Fate/Zero ช่วยรักษาอาชีพนักเขียนของผมไว้ก็ว่าได้

ตอนนี้ผมกำลังเขียนผลงานที่ได้รับการกอบกู้และมีตอนจบที่สมบูรณ์แบบ หรือถ้าจะพูดให้ชัดก็คือเขียนส่วนหนึ่งของผลงานนั้น

ถูก แล้ว ผลงานอันยอดเยี่ยมที่มีชื่อว่า Fate ตอนจบร่วมกันอันสมบูรณ์แบบที่รายล้อมตัวเอกเอมิยะ ชิโร่เป็นเรื่องที่กำหนดไว้แล้ว ไม่ว่าตอนจบของ Zero จะออกมาทารุณซักแค่ไหน มันก็จะไม่ส่งผลต่อตอนจบที่สมบูรณ์แบบของชิ้นงานโดยรวม

ในที่สุด ตอนนี้ผมก็ได้เขียนตอนจบที่โศกสลดตามที่หัวใจเรียกร้อง ไม่ว่าผมจะเปิดเผยความมืดในหัวใจออกมาเท่าไหร่ แต่ในภาพรวมแล้วผมก็ยังคงเป็นผู้สมคบคิดของ "นักสู้แห่งความรักนาสุ คิโนโกะ" อยู่ดี

อ้อ

เอิ่ม ถึงแม้ว่ามันจะช่วยแก้ปัญหาของผมไม่ได้ทั้งหมด แต่ยังไงก็ตาม การที่ทำให้ผมสามารถค้นพบ "ตัวตนที่มีความสุขกับการสร้างสรรค์" อีกครั้งก็เป็นอะไรที่ดีขึ้นมาก

ตอนนี้ผมกำลังมุ่งไปข้างหน้าทีละก้าวละก้าว ไม่ว่าในอนาคตผมจะไปหยุดอยู่ที่ตรงไหน ณ ตอนนี้ผมก็มีความสุขมาก ๆ แล้ว

ตามแผนการณ์ที่วางไว้ Fate/Zero ควรจะจบลงใน 4 เล่ม


*talalan's Note: ในวงเล็บแปลเป็นภาษาอังกฤษแล้วออกจะงง ๆ อยู่ เลยไปหาภาษาญี่ปุ่นมาอ่าน คือว่า คำว่า ความกล้า(勇気) กับ วิญญาณ(幽鬼) ในภาษาญี่ปุ่นอ่านว่า ยูกิ เหมือนกัน เวลาพิมพ์ด้วยคีย์บอร์ดภาษาญี่ปุ่น IME(เหมือนตัวช่วยพิมพ์) ก็อาจจะเปลี่ยนเป็นอีกคำให้ก็ได้ แล้วตอนที่จะพิมพ์คำว่า IME ก็กลายเป็น 忌め ซึ่งอ่านว่า อิเมะ อักษรตัวหน้าแปลว่าเกลียดค่ะ อุโรบุจิอาจจะใช้คำว่าวิญญาณกับเกลียดบ่อยเลยออกมาเป็นแบบนี้